การสำรวจทางทะเล
ยุคแห่งการสำรวจ หรือ ยุคแห่งการค้นพบ (อังกฤษ: Age of Exploration หรือ Age of Discovery) เริ่มขึ้นด้วยนักผจญภัยทางทะเลผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งค้นหาเส้นทางการค้าเครื่องเทศในแถบตะวันออกไกล เมื่อเส้นทางด้านทะเลเมดิเตอเรเนียนตะวันออกถูกสกัดกั้นไว้ด้วยคู่แข่งที่มีอำนาจมาก เมื่อวาสโก ดากามา แล่นเรือรอบแหลมกู๊ดโฮปเพื่อเดินทางไปสู่อินเดียใน ค.ศ. 1488 เป็นช่วงที่ชาวโปรตุเกสต่างพยายามหาทางเดินทางไปสู่ทางใต้และทางตะวันออก ส่วนชาวสเปนที่ได้ตกลงกับชาวโปรตุเกสให้แบ่งโลกเป็นสองส่วนตามสนธิสัญญาทอร์เดซิลิอัส เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน ค.ศ. 1494 ได้แล่นเรือไปทางตะวันตก โดยที่ไม่เคยรู้เรื่องเกี่ยวกับทวีปอเมริกาเลย และก็ไม่มีใครรู้ว่ามีมหาสมุทรแปซิฟิกอยู่ เป็นช่วงระยะเวลาในประวัติศาสตร์โลกที่เริ่มตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 15 ไปจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 17 ในช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่ชาวยุโรปออกเดินทางไปสำรวจทางทะเลในโลกที่กว้างออกไปจากตัวทวีปยุโรปเองโดยมีจุดประสงค์เพื่อหาคู่ค้าขายใหม่ และโดยเฉพาะเพื่อการแสวงหาสินค้าเพื่อสนองความต้องการของตลาดตามต้องการ สินค้าที่เป็นที่ต้องการกันมากในยุโรปในขณะนั้นคือทอง เงิน และ เครื่องเทศ
ยุคแห่งการสำรวจประจวบกับช่วงที่ชาวยุโรปตะวันตกเริ่มใช้เข็มทิศในการกำหนดและระบุเส้นทาง, การใช้วิธีการเดินเรือเดินทะเลแบบใหม่, การมีแผนที่ใหม่ และความก้าวหน้าทางดาราศาสตร์ ความก้าวหน้าเหล่านี้ช่วยในการแสวงหาเส้นทางการค้าขายใหม่ไปยังเอเชียโดยเลี่ยงอุปสรรคถ้าการใช้ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่อยู่ภายใต้การควบคุมของมหาอำนาจที่เป็นปฏิปักษ์ สิ่งที่สำคัญที่สุดที่วิวัฒนาการขึ้นสำหรับการเดินทางทางทะเลคือเรือชนิดใหม่สองแบบที่ออกแบบโดยโปรตุเกส--เรือคาร์แร็ค (Carrack) และ เรือคาราเวล (Caravel) ที่วิวัฒนาการมาจากการออกแบบเรือในยุคกลางที่ใช้ในการเดินเรือในทะเลเหนือและทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เรือสองชนิดนี้เป็นเรือสองชนิดแรกที่ให้ความปลอดภัยพอที่จะฝ่าคลื่นฝ่าลมในมหาสมุทรแอตแลนติกได้เมื่อเทียบกับเรือรุ่นก่อนหน้านั้นที่ใช้กันเฉพาะในบริเวณที่คลื่นลมไม่รุนแรงเทียบเท่ากับการเดินทางกลางมหาสมุทร
ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 เรือของยุโรปก็ได้รับการวัฒนาการดีขึ้นจนนักเดินเรือผู้มีผู้เชี่ยวชาญสามารถนำเดินทางไปยังจุดหมายใดก็ได้ในโลก การสำรวจทางทะเลก็ยังคงดำเนินต่อไป ฝั่งตะวันตกและฝั่งเหนือของออสเตรเลียก็ได้รับการเขียนเป็นแผนที่ แต่ฝั่งตะวันออกยังคงต้องรอต่อมาอีกร้อยปี ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 มหาสมุทรแปซิฟิกก็กลับมาเป็นจุดสนใจของนักสำรวจ และทะเลอาร์คติกและอันตาร์กติกก็ไม่ได้รับการสำรวจจนกระทั่งมาถึงคริสต์ศตวรรษที่ 19 นักสำรวจเข้าไปถึงใจกลางของทวีปอเมริกาในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 16 และก็ยังคงมีอาณาบริเวณที่ยังไม่ได้รับการสำรวจจนกระทั่งถึงคริสต์ศตวรรษที่ 18 และ 19 ดินแดนตอนกลางของออสเตรเลียและแอฟริกาไม่ได้รับการสำรวจโดยชาวยุโรปจนคริสต์ศตวรรษที่ 19 และต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 เพราะในบริเวณเหล่านี้ไม่มีแน้วโน้มที่มีประโยชน์ต่อการค้าขาย นอกจากนั้นก็ยังเป็นบริเวณที่เต็มไปด้วยโรคร้ายของเมืองร้อนต่างๆ ที่เป็นอันตรายต่อชีวิต
พิชิตแห่งท้องทะเล - ผู้ที่แล่นเรือรอบโลกคนแรก
ทวีปอเมริกาเหนือถูกค้นพบแล้ว
เรือไวกิ้งได้แล่นไปถึงอเมริกาเหนือก่อนที่โคลัมบัสจะเริ่มเดินเรือเกือบ 500 ปี บิอาร์นี่ เฮริออล์ฟซอน เริ่มเดินเรือจากไอซ์แลนด์ในช่วงกลาง ค.ศ. 990 แล้วเรือของเขาก็ถูกพัดออกนอกเส้นทางและไปขึ้นฝั่งที่ดินแดนแห่งหนึ่งซึ่งไม่รู้จัก แต่เขาไม่ได้สำรวจหรือตั้งชื่อดินแดนดังกล่าว ใน ค.ศ. 1002 เลฟร์ เอริกสัน ได้เดินทางซ้ำรอยของบิอาร์นี่ และไปถึงชายฝั่งที่เป็นประเทศแคนาดาในปัจจุบัน ในตอนนั้นเขาได้เดินเรือไปทางใต้และพบเกาะที่เขาเรียกชื่อว่าวินแลนด์ (ปัจจุบันคือนิวฟันด์แลนด์) ที่ซึ่งเขาตั้งอาณานิคม และทำการค้าอยู่เป็นเวลา 3 ปี กับชาวพื้นเมืองที่เรียกกันว่าชาวสเกรลลิ่ง
"ดินแดนที่ค้นพบใหม่"
ใน ค.ศ. 1497 กษัตริย์เฮนรี่ที่ 8 มีพระบรมราชานุญาตให้ จอห์น คาบอท (ค.ศ. 1450-1498) เดินทางสำรวจ ดังนั้นในวันที่ 2 พฤษภาคม คาบอทและคณะจำนวน 18 คน ออกเดินทางจากเมืองบริสตอล ประเทศอังกฤษ ด้วยเรือลำเล็กๆ ชื่อ “แมทธิว” เขาแล่นเรือไปทางเหนือไกลกว่าที่โคลัมบัสเคยไป ซึ่งออกนอกอาณาเขตของสเปน ในวันที่ 24 มิถุนายน คณะเดินทางก็มองเห็นแผ่นดิน โดยคาบอทเชื่อว่าเขาได้พบเกาะนอกชายฝั่งของทวีปเอเชีย และตั้งชื่อว่า "ดินแดนที่ค้นพบใหม่” (new found land) ซึ่งถือว่าเป็นการเดินทางสู่นิวฟันด์แลนด์ครั้งแรก ที่ได้รับการบันทึกไว้นับตั้งแต่สมัยที่ชาวไวกิ้งเดินทาง คาบอทได้เดินทางกลับสู่ประเทศอังกฤษเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม ค.ศ. 1497 และถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้นำเครื่องเทศหรือสมบัติใดๆ กลับไปด้วย แต่เขาก็เป็นคนแรกที่เดินทางสำรวจชายฝั่งอเมริกาเหนืออย่างจริงจัง
การตั้งชื่อ "อเมริกา"
เส้นแบ่งเขตแดนโปรตุเกสและสเปนนั้นได้ลากผ่านมหาสมุทรแอตแลนติก โดยที่สเปนได้ดินแดนทางด้านตะวันตก รวมทั้งอเมริกา ส่วนบราซิลเป็นของโปรตุเกส ซึ่งได้ดินแดนแอฟริกาตะวันออก และอินเดีย แต่ด้วยเหตุที่ว่าไม่มีการวัดขนาดพื้นที่อย่างชัดเจน จึงยังคงมีข้อสงสัยเกี่ยวกับเส้นแบ่งเขตแดนที่แท้จริง ใน ค.ศ. 1501 กษัตริย์มานูเอลที่ 1 แห่งโปรตุเกสจึงจัดส่งกองเรือเดินทางไปยังบราซิล โดยมีเจ้าหน้าที่คนหนึ่ง เป็นชาวอิตาลี มีนามว่าอเมริโก เวสปุสซี่ เขาเป็นหนึ่งในนักสำรวจกลุ่มแรกที่ รายงานว่าอเมริกาใต้นั้นเป็นทวีป ไม่ใช่แค่เกาะ โดยเขาขนานนามว่า "โลกใหม่" และเวสปุสซี่นักทำแผนที่ชั้นยอด ก็ได้ขายสำเนาแผนที่ของเขาหลายฉบับ ให้แก่นักเขียนแผนที่ชาวเยอรมันชื่อมาร์ติน วาล์ดเซมุลเลอร์ ผู้ให้เกียรติเวสปุสซี่ โดยเขียนชื่อแรกของเขาลงในทวีปอเมริกาใต้ เมื่อวาล์ดเซมุลเลอร์ได้เขียนแผนที่นั้นใหม่ใน ค.ศ. 1507 ตั้งแต่นั้นมาทวีปที่อยู่ทางด้านใต้นี้จึงเป็นที่รู้จักกันในนาม "อเมริกา"
การ แล่นเรือรอบโลกครั้งแรก
การแล่นเรือรอบโลกครั้งแรก นำโดย เฟอร์ดินานด์ แมกเจลแลน ซึ่งเกิดที่เมืองโอปอร์โต ประเทศโปรตุเกส ใน ค.ศ. 1480 และเมื่อ ค.ศ. 1505 เขาถูกเกณฑ์เข้ากองทัพเรือและได้เรียนรู้เกี่ยวกับการเดินเรือและ การรบทางทะเลภายใต้การปกครองของผู้ครองโปรตุเกสในอินเดีย ต่อมาในปี 1509 เขาได้เข้าร่วมรบในสงคราม “the Battle of Die” ที่ทำให้โปรตุเกสได้มีอำนาจเหนือมหาสมุทรอินเดีย และเขาได้ทำการค้า จากโคชิน จีน และมะละกา เป็นเวลา 7 ปี
แมกเจลแลนเชื่อว่าเขาจะสามารถไปถึง ตะวันออกไกลได้โดยการแล่นเรือไปทางตะวันตก เช่นเดียวกับที่โคลัมบัสเคยทำได้ ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1519 แมกเจลแลนเริ่มแล่นเรือพร้อมกับอีก 280 ชีวิตโดยใช้เรือ 5 ลำ (ได้แก่เรือ ซานอันโตนิโอ, ซานติเอโก, ทรินิแดด, วิกตอเรีย, และ คอนเซปซีออน) ในการเดินทางที่เต็มไปด้วยความยากลำบาก และการต่อต้าน โดยมี อันโตนิโอ พิกาเฟตตา ขุนนางชาวอิตาลีคนหนึ่งบนเรือได้บันทึก เรื่องราวการเดินทางไว้ พวกเขาได้ข้ามเส้นศูนย์สูตร และเห็นบราซิล แต่แมกเจลแลนคิดว่าเขาไม่ควร เดินทางเข้าใกล้อาณาเขตของโปรตุเกสมากไปกว่านี้เพราะเขาเดินทางมาด้วยธงชาติสเปน เขาจึงทอดสมอใกล้กับบริเวณที่เป็นเมืองริโอเดอจานีโรในปัจจุบัน เมื่อพวกเขาได้ตุนเสบียงไว้แล้ว จึงเริ่มเดินเรือออกไปทางใต้ จนถึงพาตาโกเนีย (อาร์เจนตินา) ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1520 เรือซานติเอโกถูกส่งไปสำรวจทางใต้ลงไปแล้วถูกพัดหายไป กับพายุโหมกระหน่ำ แมกเจลแลน ตัดสินใจเดินทางต่อไปทางใต้เพื่อหาเส้นทางไปสู่ ซีกโลกตะวันออก พวกเขาเริ่มเห็นช่องแคบ แต่แล้วในระหว่างการเดินทาง กัปตัน เรือซานอันโตนิโอได้เลี้ยวเรือกลับสู่สเปน โดยนำเสบียงจำนวนมากของกองเรือไปด้วย
เดินทางสู่มหาสมุทรแปซิฟิกอันกว้างใหญ่
เรือทั้ง 3 ลำก็เดินทางผ่านช่องแคบ ไปสู่มหาสมุทรแปซิฟิกในช่วงสิ้นเดือนพฤศจิกายน โดยที่แมกเจลแลนคิดว่าหมู่เกาะเครื่องเทศนั้นอยู่ไม่ไกล แต่พวกเขากลับต้องเดินทางถึง 96 วันโดยไม่เห็นฝั่งเลย อีกทั้งบนเรือก็มีสภาพ แย่มาก บรรดาลูกเรือมีชีวิตอยู่ได้ด้วยขี้เลื่อย เส้นหนัง และหนู ในที่สุด พวกเขาจึงแวะที่เกาะแห่งหนึ่งเพื่อกินอาหารมื้อใหญ่ และแล้วในเดือนมีนาคม พวกเขาก็เดินทางถึงกวม และเดินเรือต่อไปจนถึงฟิลิปปินส์
หลังจากที่แมกเจลแลนได้เชื่อมสัมพันธไมตรี กับกษัตริย์ผู้ครองเกาะแห่งหนึ่ง เขาได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในการรบระหว่างเผ่าโดยไม่จำเป็น และ เสียชีวิตในการรบเมื่อวันที่ 27 เมษายน ค.ศ. 1521 จากนั้น เซบาสเตียน เดลคาโน จึงเป็นผู้บัญชาการกองเรือ พร้อมทั้งผู้รอดชีวิตอีก 115 คน และเขาได้เผาเรือคอนเซปซีออนทิ้ง เนื่องจากมีคนไม่พอในการควบคุมเรือทั้ง 3 ลำ
พวกเขาแล่นเรือไปยัง หมู่เกาะโมลุกกะ (หมู่เกาะเครื่องเทศ) ในเดือนพฤศจิกายน และบรรทุกเครื่องเทศที่มีค่ามาในลำเรือ และเพื่อให้แน่ใจว่าอย่างน้อยจะมีเรือสักลำสามารถกลับไปสู่สเปนได้ จึงให้เรือทรินิแดดกลับไปทาง ตะวันออกข้ามมหาสมุทรแปซิฟิก ในขณะที่เรือวิกตอเรียแล่นต่อไปทางตะวันตก แต่เรือทรินิแดดถูกชาวโปรตุเกส ยึดไว้และลูกเรือเกือบทั้งหมดถูกฆ่า ส่วนเรือวิกตอเรียสามารถหนี ชาวโปรตุเกสในมหาสมุทรอินเดียมาได้ แล้วจึงแล่นเรืออ้อมแหลมกู๊ดโฮป ในวันที่ 6 กันยายน ค.ศ. 1522 ซึ่งเป็นเวลาเกือบ 3 ปีที่เริ่มการเดินทางครั้งประวัติศาสตร์นี้ แล้วเรือวิกตอเรีย และลูกเรืออีก 18 ชีวิต (โดยมี พิกาเฟตตา เป็นหนึ่งในนั้น) ได้เดินทางถึงสเปน พวกเขาจึงเป็น คน กลุ่มแรกที่แล่นเรือรอบโลก
การ แล่นเรือรอบโลกครั้งที่สอง
การแล่นเรือรอบโลกครั้งที่สองในประวัติศาสตร์ เป็นการเดินทางของนักสำรวจชาวอังกฤษที่เคยเป็นโจรสลัด ชื่อ ฟรานซิส เดรก (ค.ศ. 1540-1596) และเมื่อพระราชินีอลิซาเบ็ธที่ 1 เห็นว่าสเปนมีจักรวรรดิกว้างใหญ่ไพศาลมากมาย พระองค์ จึงแอบส่งเดรกให้เดินทางไปตะวันตก พร้อมทั้งมีจุดประสงค์จะคุกคามสเปนด้วย ดังนั้นวันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ. 1577 เดรกจึงเดินเรือออกจากพลีมัธ ประเทศอังกฤษ พร้อมด้วยเรือในบังคับบัญชาของเขาอีก 6 ลำ เรือ 5 ลำเดินทางกลับไปโดยผ่านช่องแคบแมกเจลแลน ในขณะที่เดรกยังแล่นเรือต่อไป ในโกลเดน ไฮนด์ (Golden Hind) และเขาก็เดินทางถึงชายฝั่งที่เป็นรัฐแคลิฟอร์เนีย และยังเดินเรือต่อไปทางเหนือจนถึงบริเวณที่เป็นพรมแดนของสหรัฐอเมริกาและแคนาดาในปัจจุบัน จากนั้นเขาก็มุ่งไปทางตะวันตกเฉียงใต้และข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกในเวลา 2 เดือน เดรกเดินทางผ่านแถบอินดีส ข้ามมหาสมุทรอินเดีย และอ้อมแหลมกู๊ดโฮป และด้วยเหตุที่โกลเดน ไฮนด์ เต็มไปด้วยทองและเครื่องเทศ เขาจึงเดินเรือไปยังพลีมัธ ในฐานะกัปตันเรือคนแรกที่แล่นเรือรอบโลก
กัปตันคุก
ผู้เดินเรือรอบโลกคนเดียวคนแรก
สโลคัมเดินทางข้ามมหาสมุทร แอตแลนติกไปสู่คลองสุเอซ และเมื่ออยู่ที่ยิบรอลตา เขาได้รับคำเตือนเกี่ยวกับโจรสลัดใน ทะเลเมดิเตอเรเนียน เขาจึงเดินทางย้อนกลับ โดยข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก แล้วมุ่งไปทาง ชายฝั่งบราซิล ผ่านทางช่องแคบแมกเจลแลนที่แสนหฤโหด เขาต้องเผชิญกับกระแสน้ำเชี่ยวกราก ชายฝั่งที่เต็มไปด้วยโขดหิน และทะเลที่ปั่นป่วน ในขณะที่เขาเดินเรือรอบออสเตรเลีย อ้อมแหลมกู๊ดโฮป และข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก
คนแรกที่เดินทางรอบโลก โดยแวะพักเพียงครั้งเดียว
เดินทางรอบ โลกคนเดียว
เคย์ ไบลธ์ หรือเรียกกันอีกชื่อว่า "คน เหล็ก" เป็นคนหนึ่งในจำนวนไม่กี่คนที่สามารถเดินเรือรอบโลกฝ่าลมแรง จากทางตะวันตกด้วยเรือแบบสองเสากระโดงชื่อ บริติช สตีล ใน ค.ศ. 1971 แล้ว เดินทางได้สำเร็จในเวลา 302 วัน สองปีต่อมา ชายชาวฝรั่งเศสชื่อ อเลน โคลัส (Alain Colas) เดินทาง รอบโลกด้วยเรือแบบขนานกัน 3 ลำ ชื่อ มานูเรวา อ้อมแหลมขนาดใหญ่ 3 แห่ง โดยใช้เวลาเพียง 129 วัน
ผู้หญิงคนแรก ที่แล่นเรือ รอบโลก เป็นชาวอังกฤษ ชื่อ ลิซ่า เคลย์ตัน เธอเริ่มเดินทางด้วยเรือ เหล็กขนาด 11 เมตร (38 ฟุต) ชื่อ สปิริตออฟเบอร์มิงแฮม จากดาร์ทมัธ ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 17 กันยายน ค.ศ. 1994 และสิ้นสุดการเดินทางที่แสนเหน็ดเหนื่อยในอีก 285 วันต่อมา
โจนาธาน แซนเดอร์ส (Jonathan Sanders) แล่นเรือรอบโลก 5 ครั้งด้วยตัวคนเดียว และยังประสบความสำเร็จในการแล่นเรือรอบโลก 3 รอบ โดยไม่แวะพักเลย นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1986 ถึงเดือนมีนาคม ค.ศ. 1988 เป็นระยะทาง 128,000 กิโลเมตร (80,000 ไมล์) การแล่นเรือรอบโลกเริ่มเป็นที่นิยมอย่างสูงเช่นเดียวกับการแข่งขัน Whitbread จากนั้นชาวฝรั่งเศสชื่อ ฟิลิป ชองโตท์ (Philippe Jeantot) ก็เป็นผู้เริ่มต้นแนวคิดการแข่งขันเดินทางคนเดียวรอบโลก โดยไม่แวะพัก
การแข่งขัน
ใน ค.ศ. 1982 การแข่งขันบีโอซี ชาเลนจ์ แบบคนเดียวรอบโลก ซึ่งในปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อเป็น รอบโลกคนเดียว มีกติกาว่า "คนเดียว เรือลำเดียว รอบโลก" การแข่งขันประเภทนี้เป็นการแข่งขันที่ใช้เวลานานที่สุด ในโลกสำหรับกีฬาที่แข่งขันเดี่ยว โดยเดินทางในมหาสมุทรที่มีคลื่นลมแรงที่สุดและห่างจากฝั่งมากที่สุด ส่วนเส้นชัยนั้นอยู่ห่างออกไปเป็นระยะทางของโลกหนึ่งใบ
ชาติที่สำคัญต่อการสำรวจทางทะเล
สเปน

โคลัมบัสมิได้พบเส้นทางไปยังเอเชียแต่ไปพบดินแดนที่ชาวยุโรปมาเรียกกันว่า “โลกใหม่” ซึ่งก็คือทวีปอเมริกา ในปี ค.ศ. 1500 นักเดินเรือชาวโปรตุเกสเปดรู อัลวาเรซ กาบรัลก็เดินทางไปสำรวจดินแดนในอเมริกาใต้ที่ปัจจุบันเรียกว่าบราซิลการเลี่ยงเส้นทางที่ไม่ให้ทับกันระหว่างสองมหาอำนาจนี้เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงความขัดแย้งระหว่างสองราชอาณาจักรในที่สุดพระสันตะปาปาก็เข้ามาแก้ไขปัญหา ในข้อตกลงในสนธิสัญญาทอร์เดสซิลลาส (Treaty of Tordesillas) โปรตุเกส “ได้รับ” ทุกอย่างนอกยุโรปทางตะวันออกของเส้นที่แล่น 270 ลีก(League) ทางตะวันตกของหมู่เกาะแหลมแวร์เดที่ทำให้โปรตุเกสมมีอิทธิพลในการควบคุมแอฟริกา, เอเชีย และทางตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปอเมริกา (บราซิล) ส่วนสเปนได้ทุกอย่างทางตะวันตกของเส้นแบ่งที่ระบุ ซึ่งส่วนใหญ่ยังคงเป็นดินแดนที่ยังไม่ได้รับการสำรวจที่มารู้จักกันต่อมาว่าเป็นทางเด้านตะวันตกของทวีปอเมริกาและหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก
โปรตุเกส
ความต้องการที่จะขยายดินแดนไปทั่วโลกของโปรตุเกสเริ่มขึ้นอย่างจริงจังเมื่อนักสำรวจเริ่มดินทางไปสำรวจทางฝั่งทะเลของแอฟริกาในปี ค.ศ. 1419 หลังจากที่ได้รับชัยชนะต่อเมืองเซวตา (Ceuta) ทางตอนเหนือของแอฟริกาในปี ค.ศ. 1415 โปรตุเกสใช้ความก้าวหน้าล่าสุดทางการเดินเรือ, การเขียนแผนที่ และเทคโนโลยีทางทะเลเช่นการใช้เรือคาราเวล(Caravel) ในการแสวงหาเส้นทางการค้าขายเครื่องเทศซึ่งเป็นสินค้าที่มีค่าที่สุดในยุคนั้น ในปี ค.ศ. 1488 บาร์ตูลูเมว ดีอัช(Bartolomeu Dias) เดินทางรอบแหลมกูดโฮปสำเร็จ และในปี ค.ศ. 1498 วาสโก ดา กามาก็เดินทางรอบอินเดีย ขณะที่การสำรวจเหล่านี้เป็นการแสดงถึงอำนาจของโปรตุเกสในต่างประเทศแต่จุดประสงค์ที่แท้จริงของการสำรวจก็เพื่อเป็นการขยายเส้นทางการค้าที่เน้นการแสวงหาเส้นทางใหม่ไปยังตะวันออกไกล โดยไม่ต้องเดินทางผ่านทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่ขณะนั้นอยู่ภายใต้อิทธิพลของอำนาจของฝ่ายปฏิปักษ์โดยเฉพาะจักรวรรดิออตโตมัน
ฮอลันดา หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า เนเธอร์แลนด์ เป็นดินแดนแห่งหนึ่งในทวีปยุโรปที่เคยอยู่ใต้การปกครองของพระเจ้าฟิลิปที่ 2 แห่งสเปน ก่อนหน้านี้ชาวดัตซ์ได้ทำหน้าที่เป็นพ่อค้าคนกลางในการค้าเครื่องเทศในยุโรปมาโดยตลอด แต่เมื่อฮอลันดาได้ก่อกบฏและแยกตัวเป็นอิสระใน ค.ศ.1580 ห้ามไม่ให้พ่อค้าดัตซ์เข้าไปซื้อเครื่องเทศในตลาดโปรตุเกสอีกต่อไป ฮอลันดาจึงต้องหาเส้นทางเพื่อติดต่อซื้อเครื่องเทศโดยตรงกับอินดิสตะวันออกของโปรตุเกส ในไม่ช้ากองทัพเรือที่เข้มแข็งของฮอลันดาก็สามารถยึดครองอำนาจการค้าเครื่องเทศของโปรตุเกสได้ 4 ปีต่อมาได้จัดตั้งบริษัทอินเดียตะวันออกของฮอลันดาขึ้นเพื่อควบคุมการค้าในหมู่เกาะเครื่องเทศ
การครอบครองหมู่เกาะเครื่องเทศของฮอลันดามีผลกระทบที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ ใน ค.ศ.1606 บริษัทอินเดียตะวันออกของฮอลันดาได้ส่งวิลเล็ม เจนซ์ (Willem Jansz) คุมเรือ ดุฟเกน (Duyfken) จากบันดา (Banda) เพื่อค้นหาเกาะทองคำที่เชื่อว่าอยู่ทางทิศใต้และทิศตะวันออกของเกาะชวา การเดินเรือครั้งนี้ทำให้เจนซ์ และลูกเรือชาวดัตซ์เป็นคนขาวกลุ่มแรกที่ได้เห็นทวีปอสเตรเลีย และทำให้ฮอลันดาได้รับการยกย่องว่าเป็นชาติแรกที่ค้นพบทวีปออสเตรเลีย แม้ว่าเดิมฮอลันดาเดินทางมายังตะวันออกเพื่อความมุ่งหมาทางการค้าเป็นสำคัญ แต่ภายหลังฮอลันดาก็เปลี่ยนนโยบายโดยยึดเอาดินแดนที่ตนครอบครองไว้ให้อยู่ในฐานะเป็นอาณานิคม
การครอบครองหมู่เกาะเครื่องเทศของฮอลันดามีผลกระทบที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ ใน ค.ศ.1606 บริษัทอินเดียตะวันออกของฮอลันดาได้ส่งวิลเล็ม เจนซ์ (Willem Jansz) คุมเรือ ดุฟเกน (Duyfken) จากบันดา (Banda) เพื่อค้นหาเกาะทองคำที่เชื่อว่าอยู่ทางทิศใต้และทิศตะวันออกของเกาะชวา การเดินเรือครั้งนี้ทำให้เจนซ์ และลูกเรือชาวดัตซ์เป็นคนขาวกลุ่มแรกที่ได้เห็นทวีปอสเตรเลีย และทำให้ฮอลันดาได้รับการยกย่องว่าเป็นชาติแรกที่ค้นพบทวีปออสเตรเลีย แม้ว่าเดิมฮอลันดาเดินทางมายังตะวันออกเพื่อความมุ่งหมาทางการค้าเป็นสำคัญ แต่ภายหลังฮอลันดาก็เปลี่ยนนโยบายโดยยึดเอาดินแดนที่ตนครอบครองไว้ให้อยู่ในฐานะเป็นอาณานิคม
ในเวลาต่อมากองทัพเรือในประเทศอังกฤษมีความเข้มแข็งมากขึ้น เพื่อแข็งขันกับฝรั่งเศสและสเปน ระหว่างการเดินทางไปยังสถานที่ไกล ๆ จำเป็นต้องมีแหล่งเสบียงอาหารและซ่อมบำรุงเรือ กองทัพของประเทศต่าง ๆ ได้เดินทางไปจับจองพื้นที่และประกาศตัวเป็นเจ้าของดินแดนที่จะใช้เป็นที่พักเรือของตน ในช่วงทศวรรษที่ 1760 และในปีค.ศ. 1768 นายพลเรือ de Bougainville ได้ประกาศอาณานิคมเหนือหมู่เกาะ French Polynesia กองทัพอังกฤษก็ได้เดินทางเพื่อหาฐานทัพสำหรับกองเรือของตนเองทันที
การเดินทางเพื่อการสำรวจทางสมุทรศาสตร์และวิทยาศาสตร์ทางทะเลได้เริ่มต้นในประเทศอังกฤษโดยเรือ HMS Endeavor ซึ่งออกจากท่าเรือ Plymouth ในปี ค.ศ. 1768 ภายใต้การบังคับบัญชาของ กัปตัน เจมส์ คุก ซึ่งเป็นนายทหารเรือที่เฉลียวฉลาดและมีความเป็นผู้นำ ประกอบกับเป็นผู้มีความรู้ในหลายศาสตร์อาทิ การเดินเรือ แผนที่ นักเขียน ศิลปะ นักการทูต และนักโภชนาการ จุดประสงค์หลักของการเดินทางครั้งนี้คือเพื่อหาที่ตั้งฐานทัพของตนทางทะเลใต้ และนอกจากนี้ยังเป็นการหาข้อมูลทางด้านสมุทรศาสตร์และวิทยาศาสตร์ทางทะเล ในช่วงเริ่มต้นกัปตันคุกได้เชิญนักวิทยาศาสตร์จาก The Royal Society ไปยังเกาะตาฮิติ เพื่อรวมสังเกตวงโคจรของดาวศุกร์ ซึ่งได้นำมาคำนวณหาค่าวงโคจรของโลก
การเดินทางเพื่อการสำรวจทางสมุทรศาสตร์และวิทยาศาสตร์ทางทะเลได้เริ่มต้นในประเทศอังกฤษโดยเรือ HMS Endeavor ซึ่งออกจากท่าเรือ Plymouth ในปี ค.ศ. 1768 ภายใต้การบังคับบัญชาของ กัปตัน เจมส์ คุก ซึ่งเป็นนายทหารเรือที่เฉลียวฉลาดและมีความเป็นผู้นำ ประกอบกับเป็นผู้มีความรู้ในหลายศาสตร์อาทิ การเดินเรือ แผนที่ นักเขียน ศิลปะ นักการทูต และนักโภชนาการ จุดประสงค์หลักของการเดินทางครั้งนี้คือเพื่อหาที่ตั้งฐานทัพของตนทางทะเลใต้ และนอกจากนี้ยังเป็นการหาข้อมูลทางด้านสมุทรศาสตร์และวิทยาศาสตร์ทางทะเล ในช่วงเริ่มต้นกัปตันคุกได้เชิญนักวิทยาศาสตร์จาก The Royal Society ไปยังเกาะตาฮิติ เพื่อรวมสังเกตวงโคจรของดาวศุกร์ ซึ่งได้นำมาคำนวณหาค่าวงโคจรของโลก
Emperor Casino: The world's first and greatest casino
ตอบลบPlay at 제왕카지노 the best Online Casino in Asia. Explore クイーンカジノ a 퍼스트카지노 world of authentic games like slots, roulette, Blackjack, Sic Bo, Video Poker,